เมื่อโพสท์ที่แล้วพาลงใต้ วันนี้เราก็จะมาขึ้นเหนือไปที่ Matsushima อีกหนึ่งเมืองท่าติดทะเลตะวันออกที่สำคัญของ Tohoku กันครับ ใช้เวลาเดินทางจาก Sendai เพียง 40 นาทีเท่านั้นเอง
Matsushima มีจุดชมซากุระที่โด่งดังคือ สวน Saigyo Modoshi no Matsu ซึ่งไฮไลท์ของที่นี่คือการชมซารุกะพร้อมดูดวงอาทิตย์ขึ้นที่อ่าว Matsushima Bay นั่นเองครับ
วันนี้เราเดินทางด้วยรถไฟ JR เช่นเดิม จาก Sendai Station มุ่งขึ้นไปที่ สถานี Matsushimakaigan Station
เรามาถึงเวลาประมาณ 10:00 และเริ่มเดินจากตัวสถานีรถไฟไปที่สวน Saigyo Modoshi no Matsu ด้วยระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางผมรู้สึกว่าวันนี้มีทักท่องเที่ยวเยอะกว่าเมื่อวาน สังเกตได้ตั้งแต่ปริมาณคนบนรถไฟและจำนวนคนที่เดินสวนกลับลงมา
เรามาถึงเวลาประมาณ 10:00 และเริ่มเดินจากตัวสถานีรถไฟไปที่สวน Saigyo Modoshi no Matsu ด้วยระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร ระหว่างทางผมรู้สึกว่าวันนี้มีทักท่องเที่ยวเยอะกว่าเมื่อวาน สังเกตได้ตั้งแต่ปริมาณคนบนรถไฟและจำนวนคนที่เดินสวนกลับลงมา
..พอดีลืมศึกษาเส้นทาง ไม่รู้มาก่อนว่าเป็นถนนขึ้นเขา ทำเอาหอบจับกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางเป็นบรรยากาศที่ชอบมาก ๆ เพราะริมถนนเต็มไปด้วยป่าของต้นสน เป็นพันธุ์ไม้ที่ผมชอบมาก ๆ เพราะเวลาดูเห็นแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในการ์ตูนตอนเด็ก ๆ
เมื่อเดินทางถึงบริเวณจุดจอดรถก่อนขึ้นไปจุดชมวิว ก็จะพบกับลานหญ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาก พอมายืนอยู่จุดนี้รู้สึกเงียบสงบมาก ๆ เลยครับ
ที่สวน Saigyo Modoshi no Matsu จะมีคาเฟ่ชื่อดังคือ Cafe le Roman คาเฟ่ห้องกระจกท่ามกลางต้นซากุระและวิวทะเลของเมือง
Cafe le Roman บอกเลยว่าใช้เวลาต่อคิวนานมาก ๆ จำได้ว่าผมเองใช้เวลารอคิวประมาณ 1:30 ชั่วโมง แต่ระหว่างที่รอคิว ในบริเวณคาเฟ่ก็มีส่วนของที่โล่งที่สามารถนั่งรอพร้อมกับมีกลีบซากุระที่ร่วงใส่หัวจากลมที่พัดอยู่ตลอดเวลา
เป็นบรรยากาศการนั่งรอคิวที่ดีไม่ต่างจากสุกี้ตี๋น้อยเท่าไหร่ ลมเย็นสบายจนมีเผลอนั่งหลับกันบ้าง
บริเวณจุดชมซากุระพร้อมวิวทะเลของเมือง ถ้าใครวางแผนดี ๆ สามารถชมอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับซากุระได้เลยครับ จินตนาการว่าคงเป็นภาพที่สวยงามมาก ๆ เสียดายที่รอบนร้ไม่ได้อยู่ในแผนของเรา แต่รอบหน้าคิดว่าต้องมีให้ได้ครับ
เราใช้เวลาอยู่ที่สวน Saigyo Modoshi no Matsu ถึงเวลาประมาณ 14:30 น. จึงเดินกลับลงมาจากสวนด้วยเส้นทางเดิม แต่เป้าหมายต่อไปคือริมชายฝั่ง Matsushima Bay เราจึงเดินตัดผ่านเส้นทางชุมชนก็ทำให้ได้เจออะไรสวยงามอีกพอสมควรครับ
เราเลือกการเดินกลับลงมาที่ริมทะเลด้วยเส้นทางที่ไม่ใช่ทางหลักครับ ปรากฎว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องเลยล่ะ เพราะระหว่างทางเราได้เจอสภาพความเป็อยู่แบบที่เราเคยเห็นแค่ในการ์ตูน ทั้งทางเข้าหมู่บ้าน ทางเดินตามแนวรางวถไฟ รวมไปถึงศาลเจ้าที่อยู่กลมกลืนไปกับตัวหมู่บ้าน ถึงจะเดินลำบากกว่าทางหลักนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มครับ
เมื่อเดินมาถึงบริเวณ Matsushima Sightseeing Cruise ตรงนี้ลมทะเลแรงมาก ๆ เลยครับ มีผู้คนเดินไปมามากมาย รวมถึงนกนางนวลที่บินวนอยู่ตามชายฝั่ง ให้ความรู้สึกเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นจริง ๆ เลยครับ
จากจุดนี้ถ้ามองออกไปทางทะเลจะพบเกาะ Kujirajima และ Kamejima ตั้งตระหง่านกลางทะเลพร้อมกับเรือใบที่แล่นผ่านเกาะไปมา เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของที่นี่ด้วยครับ
ที่ Matsushima นี้จะมีการสร้าง โกไดโต (Godaido) หอคอยที่อยู่ตามเกาะหรือหน้าผา อย่างเช่นที่ผมไปมาคือโกไดโตของวัดซุยกันจิ (Godaido of Zuiganji Temple) ที่ตัววัดนั้นอยู่บนฝั่งห่างจากหอคอย 500 เมตร
อีกหนึ่งสะถานที่ที่เรากล่าวถึงมาตั้งแต่เช้าคือ สะพาน Fukuurabashi Bridge
สะพานสีแดงที่ทอดยาวจากชายฝั่ง Matsushima ไปที่เกาะ Fukuurajima Island โดยการข้ามสะพานจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 200เยนครับ
สะพานสีแดงที่ทอดยาวจากชายฝั่ง Matsushima ไปที่เกาะ Fukuurajima Island โดยการข้ามสะพานจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 200เยนครับ
ส่วนเราไม่ได้ข้ามสะพานไปเพราะกว่าจะเดินมาถึงมันก็ใช้เวลาเกือบจะเย็นมากแล้วครับ เราจึงใช้เวลาอยู่กับการถ่ายรูปสะพานและยืนรับลมเย็น ๆ ไปเรื่อย ๆ
เมื่อเดินกลับมาที่ทางเข้า Godaido จะเจอร้านขายอาหารเล็ก ๆ ชื่อว่า Genzou Seafood Grill ซึ่งเพื่อนผมหาข้อมูลมาว่าคือร้านที่ถูกบอกต่อว่าน่าลิ้มลอง
และเมื่อผมเหลือบไปเห็นเมนู ลิ้นวัวย่าง! ผมก็พร้อมจะลิ้มลองตามที่ถูกแนะนำทันที โดยส่วนตัวนั้นเมนูลิ้นวัวคือหนึ่งในหมุดหมายของการมาเที่ยวครั้งนี้อยู่แล้วครับ ซึ่งราคาก็อยู่ที่ไม้ละ 750เยน และรออาหาร 5-6 นาที
และเมื่อผมเหลือบไปเห็นเมนู ลิ้นวัวย่าง! ผมก็พร้อมจะลิ้มลองตามที่ถูกแนะนำทันที โดยส่วนตัวนั้นเมนูลิ้นวัวคือหนึ่งในหมุดหมายของการมาเที่ยวครั้งนี้อยู่แล้วครับ ซึ่งราคาก็อยู่ที่ไม้ละ 750เยน และรออาหาร 5-6 นาที
ส่วนเพื่อนผมนั้นขอลองเมนู โครกเกะลิ้นวัว ราคาชิ้นละ 350เยน เพื่อนบอกว่าอร่อยมากเหมือนกันครับ
..ขอรีวิวแบบแอบอวยหน่อยว่า รสชาติลิ้นวัวย่างดีมาก ๆ เลยครับ ตัวลิ้นที่ให้มาไม่หนาไม่บางเกินไป มีกลิ่นควันอ่อน ๆ จากการย่าง รสชาติบอกไม่ถูกแต่มันดีมาก ๆ เลยครับ
หลังจากทานเสร็จเรียบร้อยเราก็เดินกลับมาขึ้นรถไฟที่สถานี Matsushimakaigan Station เพื่อกลับไปยัง Sendai
และเมื่อมาถึงสถานีกลาง Sendai ผมเองก็รู้สึกอยากลองลิ้นวัวตามร้านอาหารว่าจะแตกต่างกับที่เพิ่งจะได้ทานมาแค่ไหน ก็เลยตามหารและเลือกร้านในบริเวณสถานี
บอกเลยว่าที่นี่เขาให้ลิ้นวัวหนาพอ ๆ กับหมูปิ้งนมสดที่บ้านเราเลยครับ ส่วนเรื่องรสชาติมีความแตกต่างกันตามชอสราดที่เลือก ส่วนตัวแล้วชอบทั้งคู่เลยครับ จริง ๆ แล้วจะยังไงก็ได้ขอแค่เป็นลิ้นวัวผมก็โอเคแล้ว
บอกเลยว่าที่นี่เขาให้ลิ้นวัวหนาพอ ๆ กับหมูปิ้งนมสดที่บ้านเราเลยครับ ส่วนเรื่องรสชาติมีความแตกต่างกันตามชอสราดที่เลือก ส่วนตัวแล้วชอบทั้งคู่เลยครับ จริง ๆ แล้วจะยังไงก็ได้ขอแค่เป็นลิ้นวัวผมก็โอเคแล้ว
…แต่แล้ว แค่ลิ้นวัวก็ไม่เพียงพอสำหรับเรา เราจึงเดินไปตามหาซูชิบาร์… (ฮ่า ๆ ๆ ๆ)
และแล้วก็พบร้านซูชิบาร์ที่น่าสนใจ ภายในร้านไม่มีภาษาอังกฤษและรูปภาพของเมนู มีเพียงเชฟสูงอายุชาวญี่ปุ่นประจำที่บาร์พร้อมกับลูกค้าชาวญี่ปุ่นในร้าน รวมถึงพนักงานต้อนรับก็จะไม่สื่อสารภาษาอังกฤษ ถึงแม้จะงง ๆ เล็กน้อยในช่วงแรก แต่ก็ประสบความสำเร็จในการได้ลองทานซูชิที่อยากทานครับ
หลังจากทานเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินกลับโรงแรมแล้ว ระหว่างทางกลับก็ไม่พ้นการเดินหาร้านอาหารไว้สำหรับวันต่อ ๆ ไป ครับ ฮ่า ๆ
สำหรับ Matsushima วันนี้ เราเดินระยะทางรวมประมาณ 14.8 กิโลเมตรครับ เป็นวันที่เน้นการอยู่กับที่พอสมควร
อุปกรณ์ถ่ายภาพในทริปนี้
Fujifilm XT-5 // XF16-80mm // XF 35mm
GoPro Hero 11
iPhone 12 Pro Max
Fujifilm XT-5 // XF16-80mm // XF 35mm
GoPro Hero 11
iPhone 12 Pro Max